วันพฤหัสบดี, กรกฎาคม 14, 2554

มหัศจรรย์ ซองเกซอน


มหัศจรรย์ ซองเกซอน

หลังจบสารคดีสั้น 11 นาที "ซองเกซอน" เสียงปรบมือก็ดังกึกก้องห้องประชุม

ผมมีโอกาสรู้เรื่อง "ซองเกซอน" เป็นครั้งแรก จากงานสัมมนา Creative Economy ที่จัดโดย Office of Knowledge Management and Development หรือเรียกสั้น ๆ ว่า OKMD

หน่วยงานรัฐที่มีหน้าที่เพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ให้กับคนไทย การสัมมนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ประเทศเกาหลีใต้ถูกยกเป็น ตัวอย่างความสำเร็จของการส่งออกสินค้าวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ

หนังซีรีย์ชุด "แดจังกึม" สามารถทำให้คนไทยเข้าใจคนเกาหลีได้อย่างลึกซึ้ง

ในเวลาอันรวดเร็ว ท่าเต้นเซ็กซี่ของสาว วง Girls Generation ทำให้เด็ก วัยรุ่นไทย เต้นเลียนแบบ ได้อย่างไม่มีที่ติ การส่งออกรสนิยมเกาหลีประสบ ความสำเร็จในช่วงเวลาเพียงข้ามคืนและเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การท่องเที่ยว เกาหลีใต้เติบโต อย่างก้าวกระโดด คนไทยอยากเรียนภาษาเกาหลีเพิ่มขึ้น สินค้าเกาหลีได้รับความนิยมทดแทนสินค้าญี่ปุ่น ที่เคยเป็นเจ้าตลาดมา ช้านาน อย่างง่ายดาย

นักคิด นักสร้างสรรค์ นักวางแผนไทย ตื่นเต้น! สนใจตั้งคำถาม พยายามหาคำตอบอย่างจริงจังว่า เกาหลีใต้สามารถสร้างปรากฎการณ์ความสำเร็จระดับ โลกเช่นนี้ได้อย่างไร?

ผมเองก็ได้แต่คาดเดา ไม่เคยตั้งใจค้นหาข้อมูลอย่างจริงจัง แต่ หลังจากได้ สัมผัส "ซองเกซอน" ผมมีคำตอบให้กับตัวเองมากยิ่งขึ้น

เกาหลีใต้มีพื้นที่ทั้งประเทศ ประมาณ 100,000 ตารางกิโลเมตร น้อยกว่า ประเทศไทย 5 เท่า มีกำลังคนเกือบ 50 ล้านคน น้อยกว่าเรา กว่า10 ล้านคน แต่สามารถเปลี่ยนฐานะจากประเทศยากจนเป็นประเทศพัฒนาระดับแนวหน้าของโลก ได้ในเวลาไม่นาน อะไรคือความต่างที่ทิ้งให้เราต้องตามหลัง?

เกาหลีใต้เติบโตอย่างมั่นคงด้วยการลงทุนในอุตสาหกรรมหนัก โรงถลุงเหล็ก อู่ต่อเรือ รับเหมาก่อสร้าง ผลิตรถยนตร์ มีสะดุดบ้างช่วงวิกฤต ต้มยำกุ้ง ในปี 1997 แต่ก็สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว นักวิเคราะห์ให้เหตุผลว่า สงคราม ความเกลียดชัง ความแร้นแค้น การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติ ผลักดัน ให้คนเกาหลีใต้ กล้าคิด กล้าเสี่ยง ขยันทำงานหนักเพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้น

ก้าวสำคัญของการเปลี่ยนแปลง เริ่มขึ้น ต้นศตวรรษ ที่ 20 หลังอุตสาหกรรม ขนาดหนักถดถอย รัฐบาลประธานาธิบดี คิมแดจุง มองเห็นอนาคตของโลก อินเตอร์เน็ต จึงทุ่มเทสนับสนุนอุตสาหกรรมขนาดเล็กขนาดกลางที่เกี่ยวข้อง กับเทคโนโลยีสมัยใหม่ สนับสนุนการส่งออกอย่างจริงจัง ทุ่มเทงบประมาณ มหาศาลให้การศึกษาคนรุ่นใหม่อย่างหนัก โดยเฉพาะด้าน คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาอังกฤษ

ในปี 1980 คนเกาหลีใต้มีรายได้เฉลี่ยเพียง 2,300 เหรียญสหรัฐต่อปี น้อยกว่า คนญี่ปุ่น ไต้หวัน สิงคโปร์เกือบ 2 เท่า แต่ล่าสุด ปี 2010 รายได้เฉลี่ยคนเกาหลีใต้เพิ่มสูงขึ้นเป็น 30,000 เหรียญสหรัฐต่อปี คิดเป็นเงินไทยมากกว่า 70,000 บาทต่อเดือน

30 ปีที่แล้วประเทศเกาหลีใต้มีรายได้รวมทั้งประเทศ 88,000 ล้านเหรียญ สหรัฐ แต่วันนี้เกาหลีใต้ สามารถสร้างรายได้ สูงถึง 1,460,000 ล้านเหรียญ สหรัฐ เพิ่มขึ้นกว่า 13 เท่าตัว กลายเป็นประเทศที่มีรายได้ประชาชาติสูงเป็น อันดับ 15 ของโลก รายได้จากการส่งออกสูงเป็นอันดับ 7 ของโลก

"ลี มยอง ปาก" Lee Myung Bak ลูกคนงานรับจ้างในไร่ปศุสัตว์

นักศึกษาติดคุก ข้อหากบฎประท้วงต่อต้านรัฐบาลปาร์กจุงฮี ได้รับการยกย่อง ให้เป็น คนรุ่นแรกผู้บุกเบิกการปกครองระบอบประชาธิปไตย เริ่มต้นทำงาน บริษัทฮุนไดก่อสร้าง เป็นทีมงานรุ่นแรกที่เข้ามาสร้างถนน สายปัตตานี-นราธิวาส เป็น CEO อายุ 27 ปี อายุน้อยที่สุดของเกาหลีใต้ เป็นประธาน บริษัทฮุนไดก่อสร้าง ก้าวสู่เส้นทางการเมืองเป็นนายกเทศมนตรีกรุงโซล ปัจจุบันเป็นประธานาธิบดีคนที่ 17 ของเกาหลีใต้ และเป็นคนคิดสร้างสรรค์ โครงการ "ซองเกซอน"

วันนี้โลกแข่งขันกัน ตั้งแต่ผลิตสินค้าชิ้นเล็กๆ จนถึงการออกแบบเมืองเพื่อให้ ผู้คนอยากอยู่อาศัย เมืองทันสมัย สะดวกสบาย เมืองที่ให้ความสำคัญกับ คุณภาพชีวิตคนทุกชนชั้นอย่างเท่าเทียม แสดงออกถึง สาระที่เหนือกว่า เมืองสกปรก รกรุงรัง มีพิษ เอารัดเอาเปรียบ

คลอง"ซองเกซอน" Cheonggyecheon Stream ความยาว 5.8 ก.ม เป็นโครงการลงทุนมูลค่าเกือบสองหมื่นล้านบาท เกิดจากความคิดที่จะ เปลี่ยนเมืองเก่า สับสนวุ่นวาย ให้เป็นเมืองที่มีความคิดสร้างสรรค์ ใกล้ชิดธรรมชาติ น่าอยู่ มีความสุข และตั้งใจสร้างให้เป็นปรากฏการณ์ที่โลกสมัยใหม่ต้องกล่าวขวัญ


คลอง"ซองเกซอน" เป็นคลองโบราณ สมัยราชวงค์โชซอน (Joseon Dynasty) อายุกว่า 600 ปี เป็นสายชีวิตสำคัญกลางกรุงโซลมาช้านาน

เมื่อเมืองขยายตัว ผู้คนมากมายอพยพเข้ามาอยู่อาศัย คลองถูกใช้อย่างไม่ทะนุถนอม เน่าเสีย เหือดแห้ง ตื้นเขิน สองข้างคลองเต็มไปด้วยชุมชน แออัดยากจน สกปรก ปี 1967 คลองเก่าแก่ไร้ประโยชน์ถูกถมสร้างเป็น ถนนลอยฟ้า เพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กับรถยนต์กว่า 3,000,000 คัน สนองวิถีชีวิต คนเมืองที่ต้องการความรวดเร็วสะดวกสบาย

เจ้าของแผงลอยตลาดสินค้ามือสอง สินค้าหลุดจากฐานทัพอเมริกัน ที่อาศัยใต้ทางด่วนลอยฟ้า ต่อต้านโครงการนี้อย่างหนัก เทศบาลกรุงโซล

ใช้การพูดคุยทำความเข้าใจและใช้มาตรการเด็ดขาดเคลื่อนย้ายชุมชนไปไว้ ในที่เหมาะสม ลงทุนสร้างระบบขนส่งมวลชนที่มีประสิทธิภาพขึ้นมารองรับ ทดแทนทางด่วนใจกลางเมืองที่กำลังผุพังเป็นอันตรายและควรรื้อถอน

โครงการ "ซองเกซอน" เริ่มก่อสร้างกลางปี 2003 และเปิดใช้อย่างเป็น ทางการในเดือนตุลาคม 2005




รื้อทางด่วนลอยฟ้า 5.8 ก.ม ขุดคลองให้เป็นที่พักผ่อนของผู้คนใจกลางเมือง ความคิดเช่นนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ความสำเร็จของโครงการนี้อยู่ที่ไหน?

หลายคนวิจารณ์ว่านี่เป็นโครงการที่ใช้เงินภาษีของประชาชนอย่างมากมาย มหาศาล เพื่อให้นักการเมืองหาคะแนนเสียงให้กับตัวเองเป็นโครงการ ฟุ่มเฟือย เพ้อฝัน ได้ไม่คุ้มเสีย แต่หลังจากโครงการนี้สำเร็จ มันได้เป็น บทพิสูจน์ว่า ความคิดสร้างสรรค์ เป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนแปลง กรุงโซลไม่ได้แข่งสร้างตึกระฟ้ากับเมืองเกิดใหม่ของโลก เพื่ออวด สัญลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ แต่ตัดสินใจ ลงทุนรื้อถนนขุดคลอง นำสายชีวิตของเมืองที่ถูกทำลายกลับคืนมา มอบให้กับประชาชน เป็นการ คิดต่างที่ทำให้โลกตื่นเต้น ความคิดใหม่ที่กล้าท้าทาย ล้วนมากด้วยข้อ ถกเถียงมากความขัดแย้ง จึงต้องการผู้นำที่กล้าตัดสินใจ ความสำเร็จของ การเปลี่ยนแปลงต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน วางแผนงานอย่างละเอียดรอบคอบ มีทีมงานทำงานเป็น มีประสิทธิภาพ ได้ผลงานคุณภาพชั้นเยี่ยม "ลี มยอง ปาก" เป็นผู้นำที่มองเห็นอนาคต กล้าลงมือสร้างอนาคต เพื่อความสุขของ ประชาชน จนได้รับการยกย่องจาก TIME Magazine ให้เป็น Heroes of the Environment ในปี 2007

"ซองเกซอน" เป็นความภาคภูมิใจของคนเกาหลีทั้งประเทศ เป็นความตั้งใจ

ที่ต้องการประกาศให้โลกรู้ว่า คนเกาหลีวันนี้ คิดเป็น ฉลาด ทันสมัย กล้า เปลี่ยนแปลง กล้าท้าทายโลกเก่า อเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ที่กำลังเสื่อมถอย และ พร้อมรับมือโลกใหม่ ที่ทรงพลังอย่างจีนโดยไม่เกรงกลัว วันนี้เกาหลีใต้ ไม่หยุดจะสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ กลับเร่งทุ่มเทให้โลกยอมรับคุณภาพจาก เกาหลี Made in Korea อย่างรุนแรงต่อเนื่อง

ปรากฏการณ์ความสำเร็จของเกาหลีใต้ ไม่ใช่เรื่องที่จะทำตามกันไม่ได้

ประเทศไทยวันนี้เราต้องการ "ผู้นำ" ที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของโลก

ต้องการ "นักบริหารประเทศ" ที่มองเห็นโอกาสใหม่อยู่เสมอ สามารถ สร้างสรรค์ ขับเคลื่อน ขบวนการผลิตสินค้าและบริการมูลค่าสูง ให้โลก ยอมรับและอยากบริโภคโดยไม่ขอต่อรองราคา โมเดลประเทศเพื่อนบ้าน ที่ประสบความสำเร็จมีให้เราศึกษาอย่างมากมาย ญี่ปุ่น ไต้หวัน เกาหลีใต้ สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ได้วิ่งแซงหน้าทิ้งห่างเราไปไกลขึ้นเรื่อยๆ

ยักษ์ใหญ่อย่างจีนพัฒนาสินค้าคุณภาพส่งขายทั่วโลกได้อย่างรวดเร็วจนหน้าตกใจ การเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน การเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน จึงเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับอนาคตของประเทศเราต้องการทุนที่จะ นำมาปรับปรุงคนของเราให้ฉลาด ทันในการแข่งขันมากกว่านี้










"เศรษฐกิจสร้างสรรค์" ต้องไม่ใช่นโยบายที่พูดกันอย่างสับสนเลื่อนลอย แต่ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงจุดเด่นที่คนไทยมีอยู่ ประเทศไทยมีอยู่ รัฐต้อง ลงมือทำงานอย่างจริงจัง สนับสนุนการสร้างรายได้แบบใหม่ ผลิตสินค้า และบริการ อาศัยความได้เปรียบ จากสินทรัพย์ วัฒนธรรม ภูมิปัญญา และทักษะแรงงานที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รัฐต้องสนับสนุนสร้างตลาดการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างท้องถิ่นให้

คึกคักมีชีวิตชีวาทั้งหมดนี้เพื่อให้เกิดการสร้างงานที่มั่นคงและสังคมที่ แข็งแรงในอนาคตและยังไม่สายเกินไป เราต้องเร่งสร้างสินค้ามูลค่าสูง Made in Thailand ด้วยความแตกต่าง มีคุณภาพ มีรสนิยม เป็นที่ต้องการของตลาดโลก ยุคใหม่ รับใช้คนชั้นกลางเกิดใหม่อีกหลายร้อยล้านคน ที่มีกำลังซื้อมหาศาล อยากจับจ่ายใช้สอย อยากทดลองสินค้า "คุณภาพใหม่" ด้วยใจจดจ่อ

ผมใช้เวลาเดินที่ คลอง "ซองเกซอน"เกือบสองชั่วโมง สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้ เป็นงานออกแบบชั้นเยี่ยม ตั้งใจตอบสนองความสุขหลากหลายของชีวิตผู้คน มากครอบครัวมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ เด็ก ๆ วิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน พนักงาน บริษัทชวนกันมาเป็นกลุ่ม ซื้อขนมขบเคี้ยว นั่งล้อมวงดื่มเบียร์สังสรรค์ อย่างเรียบร้อยและเคารพสิทธิของผู้อื่น หนุ่มสาวแยกเป็นคู่ ๆ ปรับทุกข์บ้าง พลอดรักบ้าง มีคณะดนตรีเปิดหมวก เล่นให้ครึกครื้นรื่นรมย์ตลอดเส้นทาง นักท่องเที่ยวหลายสัญชาติเดินชมนิทรรศการ ถ่ายรูปเก็บเป็นที่ระลึก สนุกกับโชว์แสงเลเซอร์ที่คาดไม่ถึง ผมได้สัมผัสตัวตนของเกาหลีใต้อย่าง ใกล้ชิด รู้สึกได้ถึงพลังของประเทศที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น พร้อมก้าวเดิน เข้าสู่การแข่งขันในทศวรรตหน้าอย่างมั่นใจ

ทุกย่างก้าวที่ "ซองเกซอน" ทำให้ผมครุ่นคิด เปรียบเทียบ ประเทศไทย ของเรา ไม่มีเวลาที่จะหยุดเดิน ถอยหลัง หรือแกล้งหกล้มอีกต่อไปแล้ว เราต้องเร่งสร้างคนรุ่นใหม่ ที่ คิดเป็น ทำเป็น เราต้องการผู้บริหารประเทศ รุ่นใหม่ที่กล้าวางแผนให้ประเทศอย่างชัดเจนว่า อีกสิบปีข้างหน้าเราจะยืน บนตำแหน่งไหนของโลก และต้องลงมือทำตั้งแต่วันนี้

ทรงศักดิ์ เปรมสุข

27 มิถุนายน 2554

วันพุธ, พฤษภาคม 11, 2554

กว่างโจว เมืองแห่งอนาคต เมืองที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง



อีกสองชั่วโมงกว่าจะถึงจุดหมาย ผมหยิบ Time Magazine ขึ้นมาพลิกอ่าน สะดุดตากับรายงานของ Mckinsey Global Institute ว่าด้วย  "25 เมืองที่จะมีรายได้เติบโตมากที่สุดของโลกในปี 2025"
ข้อมูลยืนยันว่าเศรษฐกิจจีนกำลังมาแรงอย่างแน่นอน เมืองใหญ่ของจีน 7 เมือง ได้แก่ Shanghai Beijing Shenzhen Tianjin Chongqing Guangzhou และ Hongkong ถูกคาดการ์ณว่าจะสามารถสร้างรายได้สูงเป็นอันดับต้นๆของโลกโดยกวาดให้เมืองเก่าจากยุโรปและอเมริกา อย่าง Madrid Milan Brussels Frankfurt Miami Atlanta หรือแม้แต่ Toronto ตกอันดับไปอย่างง่ายดาย จีนกำลังก้าวกระโดดเป็นผู้กำหนดอนาคตของโลก การพลิกฟื้นเศรษกิจจากประเทศยากจนข้นแค้นจนกลายเป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดของมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาด้วยระยะเวลาอันสั้น เป็นเรื่องที่มหัศจรรย์
จีนทำให้โลกตื่นตากับงาน Beijing 2008 Olympic Games และอีกสองปีต่อมา ประสบการ์ณ World Expo 2010 ที่เซี่ยงไฮ้ ทำให้ผมเห็นความมุ่งมั่นของรัฐบาลจีนที่ต้องการให้โลกรับรู้พลังของคนจีนยุคใหม่ ผมเห็นคนสูงอายุ คนหนุ่มสาว หรือแม้แต่เด็กเล็ก กระตือรือร้นที่อยากเรียนรู้ อยากสัมผัสเทคโนโลยี่นำสมัย อยากเข้าใจโลกใหม่ ผมรู้สึกถึงความพร้อมของคนจีนที่จะรับมือกับการเปลี่ยนแปลง อยากเป็นผู้นำมากกว่าผู้ตาม ผมเข้าใจได้กับการลงทุนอย่างมโหฬารที่จีนต้องการให้โลกมีมุมมองใหม่ รับรู้ว่าจีนวันนี้ไม่ใช่จีนไร้รสนิยมอีกต่อไป เพราะว่าที่นี่คือ เซี่ยงไฮ้ เมืองเศรษกิจอันทรงพลังของโลกตะวันออก
 
Canton Fair จัดที่ กว่างโจว Guangzhou เป็นงานแสดงสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของจีน จัดมาต่อเนื่องตั้งแต่ปี1957 เป็นประจำปีละ2ครั้ง 15เมษายน - 5พฤษภาคม และ 15ตุลาคม- 4 พฤษจิกายน จัดแสดงที่ China Import and Export Complex บนพื้นที่ขนาด 1,160,000 ตารางเมตร ที่นี่เป็นจุดหมายของนักธุรกิจกว่า 2แสนคนจากทุกมุมโลก คาดว่าจะมีรายได้จากการขายสินค้ามูลค่ามากกว่า 30000 ล้านเหรียณสหรัฐ เป็นครั้งแรกที่ผมจะมีโอกาสมาเยือน กว่างโจว มาร่วมงานแสดงสินค้าระดับโลก ผมไม่ได้คาดหวังอะไรมากนัก ความรับรู้ของผม ฮ่องกง เซ้นเจ้น น่าจะคึกคักและมีสีสันกว่าเมืองนี้หลายเท่าตัว
   
หากใครไปลอนดอน คงไม่พลาดที่จะไปแวะเวียนห้าง Primark บนถนน Oxford Street ที่เป็นจุดนัดพบของหนุ่มสาวชาวอังกฤษ และนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ทุกคนสนุกกับการจับจ่ายเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ยอมเข้าแถวต่อคิวกันยาวเหยียดเพื่อซื้อสินค้าราคาถูก คุณภาพดี ที่สำคัญส่วนใหญ่ผลิตจากประเทศจีน ผมเชื่อว่าเกือบ100% เป็นสินค้าที่ผลิตมาจากเมืองกว่างโจว 2วันเต็มที่ผมมีโอกาสเดินสำรวจงาน Canton Fair ผมตื่นตาตื่นใจ และยอมรับว่า กว่างโจว เป็นโรงงานผลิตสินค้าของโลกอย่างแท้จริง จีนมีความสามารถในการผลิตสินค้าทุกประเภท และจีนวันนี้พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะเปลี่ยนภาพพจน์จาก Made in China 
ผลิตสินค้าราคาถูกด้อยคุณภาพ เป็น Created in China เพราะประสบการ์ณรับจ้างผลิตสินค้าชั้นนำจำนวนมหาศาลให้กับคนทั้งโลก คนจีนสั่งสมความรู้ความเชี่ยวชาญ จนสามารถพัฒนาสินค้าคุณภาพของตัวเองได้ แค่ผลิตเพื่อรองรับความต้องการภายในประเทศ1600 ล้านคนก็มากเกินพอแล้ว สินค้าจำนวนมากของจีนได้ก้าวข้ามการลอกเลียนแบบ ด้วยการลงทุนสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้คนทั่วโลกยอมรับ รวมทั้งรัฐบาลยังสนับสนุนให้นักออกแบบรุ่นใหม่ออกเดินทางแสดงผลงานในเทศกาลงานออกแบบชั้นนำระดับโลกอย่างจริงจัง
 
กว่างโจว เป็นเมืองใหญ่ มีผู้คนอาศัยทำมาหากินเกือบ15ล้านคน แต่กว่างโจวกลับรื่นรมณ์ด้วยต้นไม้ใหญ่อย่างน่าชื่นชม ริมถนนหนทาง ริมแม่น้ำ หรือแม้แต่ตามตรอกซอกซอยก็เขียวชอุ่มสดชื่น ให้ร่มเงาช่วยคลายร้อนได้เป็นอย่างดี ที่น่าแปลกใจต้นไม้ส่วนใหญ่ที่ปลูกริมถนนในเมืองกว่างโจว เป็น ต้นไทร หลากหลายต้นที่ผมได้พบเห็นมีอายุมาก ลำต้นใหญ่โตแข็งแรง รากไทรย้อยสวยงามแปลกตา ผมมีโอกาสไปเที่ยววัดพุทธ อายุกว่า1400 ปี ในวัดมีพระพุทธรูปหล่อด้วยทองแดงองค์ใหญ่ที่สุดของเมืองกว่างโจวให้สักการะ มีประวัติเล่าว่า กวีในราชวงค์ Song ต้นศตวรรตที่11 ชื่อ Su Dongpo มาเยี่ยมชมวัดนี้เห็นต้นไทรหกต้นงดงาม ประทับใจ เลยเรียกชื่อวัดใหม่ว่า The Tempel of Six Banyan Trees ปัจจุบันยังเหลือต้นไทรเก่าแก่ สองต้น ไม่รู้ว่านี่จะเป็นที่มาของการชอบปลูกต้นไทรทั่วทั้งเมืองกว่างโจวหรือเปล่า
 
หลังการเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ของ Asian Games Guangzhou 2010 เพื่อให้โลกรู้จักเมืองหลวงของมลฑลกวางตุ้งด้านทิศใต้ของจีนแล้ว กว่างโจวพัฒนาตัวเองอย่างไม่หยุดยั้ง นอกจากสนามบินนานาชาติ ทางด่วนยกระดับ โครงข่ายรถไฟใต้ดินระยะทางหลายร้อยกิโลเมตรที่ให้ประชาชนเดินทางสะดวกปลอดภัยราคาถูก กว่างโจว ได้ลงทุนสร้างเมืองใหม่ชื่อ Zhujieng New Town ให้ที่นี่เป็นอนาคตใหม่ของเมืองกว่างโจว เป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำระดับโลก โรงแรมหรูระดับ5ดาว แต่ทั้งหมดไม่สำคัญเท่ากับการลงทุนมหาศาลในการสร้างแหล่งความรู้ใหม่ให้กับประชาชน
 
ถ้า หอประชุม ดร ซุน ยัด เซ็น ที่สร้างในปี1925 เป็นสถาปัตยกรรมที่ประชาชนช่วยกันบริจาคเงิน สร้างเพื่อแสดงความรักต่อผู้นำการปฎิวัติประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่ของเขา พรรคคอมมิวนิสส์จีนตั้งใจสร้างจตุรัสความรู้บนเมืองใหม่อย่างเอางานเอาการ ก็เพื่อตอบแทนประชาชนเมืองกว่างโจวที่อดทนทำงานหนักมาอย่างยาวนานเช่นกัน
ผู้บริหารเมืองกว่างโจว ตัดสินใจสร้าง Guangzhou Opera House มูลค่า 200 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยเชิญ บริษัทสถาปนิกชั้นนำของโลก ได้แก่ Coop Himmelblau จากออสเตรีย Rem Koolhass จากฮอลแลนด์ และ Zaha Hadid จากอังกฤษ มาประกวดความคิด เพื่อสร้างที่พักผ่อนหย่อนใจให้กับประชาชน เพื่อประกาศความก้าวหน้าทางวัฒนธรรมให้โลกได้รับรู้ ผู้เชี่ยวชาญคาดว่า Koolhass น่าจะเป็นผู้ชนะเพราะเขาคุ้นเคยเมืองกว่างโจวเป็นอย่างดี กรรมการตัดสินส่วนใหญ่ชอบแนวคิด Flame of Passion จากงานร่วมสมัยของ Himmelblau แต่ผู้บริหารเมืองกว่างโจว กลับคิดต่างอย่างน่าชมเชย ประกาศให้ประชาชนเจ้าของ
เมืองเป็นผู้ออกเสียงตัดสินเลือกแบบโรงละคอนของตัวเอง วันที่ 7 พฤษจิกายน 2002 ประชาชนเมืองกว่างโจวตกลงเลือก งานของ Zaha Hadid สถาปนิกหญิงชาวอังกฤษ เชื้อสายอิรัค ด้วยเหตุผลเพราะงานของเธอเข้าใจวิถีชีวิตของคนกว่างโจวอย่างลุ่มลึก
 
 
 
  
Hadid ชนะด้วยแนวคิด "กรวดสองก้อน" Double Pebbles เธอศึกษาเพลงพื้นบ้านของกว่างโจวชื่อ "ก้อนกรวดกลางแม่น้ำ" ทึ่เนื้อร้องบอกเล่าเรื่องราวของประกามาจากสรวงสวรรค์ จนเป็นที่มาของชื่อแม่น้ำไข่มุกในปัจจุบัน ประชาชนชอบแนวความคิดของเธอ ชอบรูปทรงอาคารที่อ่อนน้อมถ่อมตน วางตัวมั่นคงท่ามกลางตึกสูงเสียดฟ้า ให้ความรู้สึกสงบคู่กับสายน้ำสายสำคัญที่หล่อเลี้ยงผู้คนมามากกว่า 2000 ปี
 
Zhujieng New Town ไข่มุกแห่งกว่างโจว ยังเป็นที่ตั้งของ The Guangdong Province Museum ออกแบบโดย Rocco Yim สถาปนิกจากฮ่องกง ที่นี่รวบรวมงานศิลปะชั้นนำของมลฑลกวางตุ้งมากกว่า130,000 ชิ้น อาคารทรงสี่เหลี่ยมสีเทาดำ เจาะช่องหน้าต่างเลียนแบบศิลปจีน ปล่อยแสงเรืองรองยามคำ่คืนเหมือนกล่องมหัศจรรย์ ถัดไปไม่ไกลเป็น The Guangzhou Library อาคารสูง 50เมตร ออกแบบเหมือนหนังสือนับล้านล้านเล่มวางเรียงซ้อนกันไปมา เป็นคลังความรู้ที่สมบูรณ์แบบสำหรับโลกยุคใหม่ ทั้งหมดนี้ไม่ได้อยู่ในแผนการท่องเที่ยวของบริษัททัวร์ โชคดีที่ผมค้นพบข้อมูลก่อนการเดินทาง เพราะอยากมีโอกาสเห็นผลงานของสถาปนิกระดับโลกเลยขอร้องให้ไกด์ช่วยพามา ผมเดินเที่ยวชมบริเวณโดยรอบท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ค่ำแล้วยังมีนักท่องเที่ยวเดินถ่ายรูปมากพอสมควร ไกลออกไป เห็นแสงไฟระยิบระยับ จาก Canton Tower หอส่งสัณญาณทีวีสูงที่สุดในโลก รูปทรงอ่อนช้อยตั้งใจให้เป็นสัญญลักษณ์แทนความงดงามของสาวชาวกว่างโจว กลุ่มอาคารในเมืองใหม่ ถูกจัดวางอย่างเหมาะเจาะ ทุกมุมมองยื่งใหญ่ตระการตา ผมวางแผนว่าจะกลับมาที่นี่อีกครั้งและคงตัองใช้เวลาทั้งวันสำหรับการสำรวจย่านนี้อย่างละเอียด
 
คุณภาพชีวิตของประชาชนในประเทศไม่ได้ถูกวัดจากตึกสูง รถไฟฟ้า ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ รถยนต์ราคาแพงที่วิ่งอยู่บนท้องถนน 4วันสั้นๆที่ผมเดินผ่านกว่างโจว ผมเห็นสวนสาธารณะที่ออกแบบเปิดโล่ง ไม่ต้องมีรั้วปิดกั้นให้อึดอัดใจ ผมได้เดินบนถนนคนเดินที่หนาแน่นผู้คนสนุกกับจับจ่ายใช้สอย ผมเห็นบ้านเมืองสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบเรียบร้อย ร้านรวงกระฉับกระเฉงกับการค้าขาย ผมเห็นเมืองที่ให้ความสำคัญกับความรู้และเทคโนโลยี่สมัยใหม่ เมืองที่เคารพคุณค่าของบรรพบุรุษ เมืองที่ให้ความสำคัญกับการเติบโตอย่างมีคุณภาพของคนหนุ่มสาว 

กว่างโจว เป็นเมืองที่มีพลัง ผมเห็นการขับเคลื่อนที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง และผมไม่แปลกใจที่ กว่างโจว ถูกทำนายให้เป็นเมืองแห่งอนาคต เป็นเมืองที่จะมีบทบาทสำคัญยิ่ง ในการกำหนดทิศทางการเติบโตของโลก ในอีก 10ปี ข้างหน้า  ่

วันจันทร์, กันยายน 06, 2553

x2 กุยบุรี พบกันแบบไม่คาดฝัน



ปลายเดือนกันยายน ระหว่างทาง ฝนโปรยปราย ที่แรกว่าจะไป
ทานข้าวกลางวันที่เขาเต่า แต่อยากขับรถเล่น เลยเปลี่ยนเป้าหมาย
เป็นปราญบุรี แต่ก็เปลี่ยนใจอีกจนได้ ตั้งใจไปไกลถึง ประจวบคีรีขันต์
จำได้ว่าริมอ่าวมีร้านขายอาหารทะเลรสชาติดี สดมากๆ

ขับรถผ่านกุยบุรี อีก15กม ก่อนถึงประจวบฯ เห็นป้าย X2 Kui Buri ออกแบบทันสมัยติดข้างห้องแถวริมถนนเพรชเกษม ขัดสายตาแต่น่าสนใจ เกือบบ่ายสองแล้ว เลยตัดสินใจแวะเข้าไปเยี่ยมเยียน

ขับรถจากถนนใหญ่ไปตามทางถนนเข้าหมู่บ้าน มีช่วงสั้นๆทางยังสร้างไม่เสร็จ
ข้ามทางรถไฟ หยุดรอฝูงวัวให้ผ่านไปก่อน เห็นสถานีรถไฟเล็กๆสีแดงน่ารัก
มีทิวเขาเป็นกำแพงอยู่ด้านหลัง ข้างหน้าเห็นขอบฟ้าและทะเลอยู่ไม่ไกล
ยังนึกไม่ออกว่า resort จะหน้าตาเป็นอย่างไร

X2 อ่านออกเสียงว่า cross-to วางตัวเองเป็น design resort สำหรับ
a cosmopolitan group of creative and stylish guests จอดรถเรียบร้อยมีพนักงานออกมาต้อนรับ ใจดีนำทางไปส่งถึงร้านอาหารริมทะเล

resort ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน โดย คุณ ดวงฤทธ์ บุญนาค จัดวางพื้นที่ใช้สอยได้สวยงาม ที่สำคัญรักษาต้นไม้ใหญ่ไว้อย่างน่าเคารพ แปลกตาด้วยการเลือกใช้หินธรรมชาติ ไม้ เป็นวัสดุหลัก ห้องอาหารเปิดโล่งให้เห็น ทะเล มองออกไปไกลด้านซ้ายเห็นอ่าวประจวบอยู่ลิบๆ

อาหารเป็นแนว fusion มีให้เลือกทั้งไทยและยุโรป ราคาพอกับโรงแรมในกรุงเทพ แต่ก็ทำได้อร่อยเกินคาด โดยเฉพาะ สลัดปลาแซลมอลสดคลุกพริกไทยดำ ชอบมาก

วันนี้ไม่มีแดด ไม่ร้อน ทานข้าว นั่งพัก มองทะเลเกือบสองชั่วโมง ที่นี่ให้บรรยากาศสงบนิ่ง เป็นส่วนตัว แต่บางคนที่ชอบสีสันอาจจะบอกว่า X2 เงียบ และเรียบเกินไป

ขับรถต่ออีกไม่ไกลก็ถึงประจวบฯ ผมปิดแอร์ เปิดหน้าต่าง ขับรถชิดซ้ายช้าๆ ค่อยๆเลียบทะเลชมอ่าวประจวบ ชาวบ้านเรียกอ่าวเกาะหลัก อ่าวโค้งสวย ด้านหน้าล้อมรอบด้วยเกาะขนาดเล็กใหญ่ที่ธรรมชาติจัดวางจนได้จังหวะ ถูกเพิ่มชีวิตชีวาด้วยเรือประมงหลากสี จอดพ้กเหนื่อย หลบลมแรง ผมหยุดรถ ออกไปถ่ายรูป บันทึกไว้ว่า ที่นี่เป็นอ่าวที่สวยที่สุดอีกที่นึงของประทศไทย เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้นอนค้างคืน ตื่นเช้าเฝ้าดูพระอาทิตย์ขึ้นหน้าอ่าว คงได้เห็นสีสันที่สวยงามมากกว่านี้

ขับรถรอบเมืองขนาดกระทัดรัด ริมอ่าวมีโรงแรมและร้่านอาหารทะเลให้เลือกหลายหลายร้าน ก่อนกลับผ่านร้านขายขนม ซื้อ ไส้เมี่ยงป้านิด จากพัทลุง เอาไว้ทานเล่นในรถ

หัวหินวันนี้ไม่พลุกพล่าน มาเที่ยวช่วงปลายฝนอย่างนี้ มีโอกาสได้ที่พ้กคุณภาพดีในราคาประหยัด มื้อเย็นวันนี้อยากทานอาหารไทยรสจัด เลือกร้านลุงบังหัวปลาหม้อไฟ ถ้าจำไม่ผิดอยู่ริมถนนดำรงราช จากเพรชเกษมเลี้ยวซ้ายอยู่ซ้ายมือ

สั่งปลากระพงแป๊ะซะตัวโต ผัดผักบุ้งไฟแดง ทานกับข้าวสวยร้อนๆ อิ่มกำลังดี ตกค่ำคนยิ่งแน่นร้าน ทำให้พิสูจน์ได้ว่า ร้านอาหารคุณภาพดี อร่อย ราคาเป็นกันเอง ยังไงก็ไม่กลัว low season

26 กันยายน 2552

วันพุธ, พฤษภาคม 12, 2553

เที่ยวอ่าวบางตะบูน หมู่บ้านไม้น้ำเค็ม




















หลายปีที่แล้ว ผมขับรถจากชะอำกลับกรุงเทพช่วงสงกรานต์ อยากหนีรถติดบนถนนเพชรเกษม
เลยลองเลือกใช้เส้นทางเลียบชายทะเล หาดปีกเตียน เจ้าสำราญ บ้านแหลม เรื่อยถึง
คลองโคน ทะลุออก ถนนพระราม๒ เป็นเส้นเดินทางที่สนุกแต่ก็ทุลักทุเลพอสมควร ตลอดทาง
มีหลุมขนาดเล็ก ใหญ่ ให้ต้องขับหลบซ้ายที ขวาที ก่อนถึงคลองโคนเป็นถนนลูกลังยาวตลอด
ต้องขับช้าๆ เพราะไม่อยากให้ฝุ่นคลุ้งรบกวนชาวบ้าน ชอบช่วงที่ขับผ่าน นาเกลือ สองข้างทาง
เห็น กองเกลือเป็นกรวยสามเหลี่ยม สวยขาวโพลนกลางแดดจ้า ชาวบ้านแต่งตัวมิดชิดด้วยผ้าหลากสี
ช่วยกันขนเกลือเข้าเก็บในฉาง เป็นสีสรรเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ระหว่างชับรถ มีช่วงหนึ่ง
ต้องขับขึ้นสะพานสูงข้ามแม่น้ำที่ไม่กว้างมากนัก จำได้ติดตา ด้านซ้ายมือ มองออกไปได้ไกล
เห็นปากแม่น้ำไหลออกสู่ทะเลอ่าวไทย สองฝั่งล้อมรอบด้วยป่าโกงกางสีเขียวชอุ่ม เป็นภาพอ่าวไทย
ที่สวยมากภาพหนึ่งเลยทีเดียว สังเกตุเห็นมีร้านอาหารเล็กๆซ่อนตัวอยู่เชิงสะพาน
บรรยากาศน่าสบาย แต่เสียดายที่ถนนหนทางไม่เป็นใจเอาเสียเลย

เมษาปี ๒๕๕๓ นี้ ร้อนและเครียดกว่าทุกปี ผมหยุดกินยาแก้ปวดหัว นอนน่าเบี่ออยู๋บ้าน
บนโซฟาตัวเดิม ขับรถออกไปหาอากาศบริสุทธ์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ใกล้หรือไกล
การเดินทางช่วยเปิดให้เห็นแง่มุมชีวิตใหม่ๆได้เสมอ ช่วยเติมพลังความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้น
ทุกครั้ง ถัาเราช่างสังเกตุจดจำ และรู้จักนำไปปรับใช้

ผมวางแผนกลับไปสำรวจเส้นทางลัดกรุงเทพ ชะอำ ได้ยินมาว่าถนนเส้นนี้สร้างเสร็จ
พร้อมให้ใช้งานแล้ว ระยะทางไม่ไกลจนเกินไป ขับรถไปกลับภายในวันเดียวได้สบาย
อยากหาอาหารทะเลสดๆ จากร้านชาวบ้าน ที่สะอาด สำคัญราคาค้องไม่แพง ทานให้จุใจ

จากถนนพระราม๒ ถึงช่วงกิโลเมตรที่ ๗๐ ขับชิดซ้าย จะเห็นป้ายบอกเส้นทางลัด
หาดเจ้าสำราญ หาดปีกเคียน ชะอำ ก่อนถึงปากทางเช้า มีปั้มน้ำมัน ปตท มีผู้คนแวะเวียน
ใช้บริการคึกคักพอสมควร ผมแวะซื้อขนมครกและข้าวเหนียวปิ้งเอาไว้ทานรองท้อง
เพราะไม่แน่ใจว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

ถนนทางเข้าไม่ใหญ่มากนักเพราะตัดชิดติดกับกำแพงวัด ขับไปสักระยะจะรู้สึก
โล่งมากขึ้น ถนนสองเลน ลาดยางอย่างดี ตัดเลี้ยวไปมา เดาว่าไล่ไปตามขอบที่ของชาวบ้านที่ใจดี
ยกให้เป็นทางสาธารณะ ขับเข้าไปไม่ไกลนัก มีทางแยกขวามือไป "คลองโคน" หมู่บ้านที่ล่ำลือกันว่า
เป็นแหล่งทำกระปิที่อร่อยที่สุดที่หนึ่งของประเทศไทย ขับตรงไป ไป บางตะบูน บ้านแหลม
ผมอยากจะสำรวจว่า ถนนเส้นนี้ จะดีไปจนถึงชะอำหรือยัง

ไปอีกราว ๒๐ กิโลเมตร ถึง "บางตะบูน " มองจากกลางสะพาน ปากอ่าวยังสวยเหมือนเดิม
วันนี้น้ำลง เห็นตลิ่งเลนเป็นแนวกว้าง มองไปไกลๆเห็นโพงพางเต็มปากอ่าว เว้นร่องน้ำให้
เรือประมงพอแล่นผ่านได้ ผมไม่ขับรถผ่านเลย เลี้ยวรถขับไปจอดใต้สะพาน เดินหลบแดดร้อนไปที่
ท่าน้ำเพื่อรับลมเย็น มีชาวบ้านนั่งช่วยกันแกะหอยเตรียมไปขาย ตรงบันไดมีนักตกปลาหย่อนใจ
อยู่สองสามคน ร้านอาหารเชิงสะพานที่จำได้ว่าบรรยากาศดี มีคนนั่งทานให้ไม่เหงาอยู่พอสมควร
แวะไปดูใกล้ๆ เป็นเรือเอี้ยมจุ้นจอดชิดกันสามลำ ดัดแปลงเป็นร้านอาหารชื่อเพราะ "เรือแลเล"


ตลอดเส้นทางถนนอยู่ในสภาพใช้ได้ดี เหลีอทางเบี่ยงแค่ช่วงสั้นๆ มีสะพานยังสร้างไม่เสร็จ
หนึ่งสะพาน เลยทำให้มีรถบรรทุกวิ่งน้อย ขับรถได้สบาย ช่วงบางตะบูน บ้านแหลม สองข้างทาง
เป๊นนาเกลือ ที่ทำกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวบ้านเริ่มทำนาเกลือ ต้นเดีอนพฤษจิกายน ใช้เวลา
๔-๕ เดีอน ถึงจะได้เกลือเก็บไปขาย ค้นข้อมูลได้ว่าปัจจุบันเราผลิตเกลือทะเลได้ปีละราว
หนิึ่งล้านตัน ขายกันตันละ๑๐๐๐ -๑๕๐๐ บาท แล้วแต่ฤดู ส่วนใหญ่ผลิตได้พอใช้ภายในประเทศ
ใกล้หน้าฝนแล้ว เกลือถูกเก็บเต็มล้นฉาง บางที่ต้องใช้ผ้ายางคลุมเก็บในผืนนาแทน
ไม่ให้โดนฝนเสียเกลือเสียราคา เพราะอีกตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงฤดูการผลิตอีกครั้้้ง
คนนาเกลืออยู่กับฟัาและทะเล ธรรมชาติให้ประโยชน์กับคน แต่ก็จำกัดไม่ให้ฟุ่มเฟือยจนเกินไป
มากบ้างน้อยบ้าง ต้องรู้จักใช้ รู้จักสร้างให้พอด๊

จากบ้านแหลมเลี้ยวซ้ายจะเข้าตลาด ขวาตรงไปแหลมผักเบี้ย หรืออีกชื่อเรียกแหลมหลวง
หาดทรายแรกเริ่มต้นที่นี่ ช่วงนี้เป็นเส้นทางเรียบชายฝั่งทะเล เริ่มมีที่พัก และร้านอาหาร ยิ่งใกล้
หาดเจ้าสำราญ ยิ่งมีให้เลือกหลายรูปแบบหลายราคา ผมขับไปจนถึงทางแยก ตรงไป หาดปีกเตียน
ตัดสินใจหยุดสำรวจเส้นทางเพียงแค่นี้ เพราะช่วงจากนี้ไปถนนน่าจะดีตลอดทางแล้ว ผมเลี้ยวรถ
เข้าหาดเจ้าสำราญ เห็นที่พักสงบ น่ารัก เพิ่มขึ้นมาอีกหลายที่ ว่าจะหาร้านอาหารทะเลอร่อยๆทาน
ขับวนไปมายังไม่ได้ร้านถูกใจ เลยขับรถกลับ ๔๐ กิโล ไปทานที่ "เรือแลเล"

"บางตะบูน" ได้ชื่อมาจากไม้น้ำเค็ม "ตะบูน" เป็นไม้ที่พบขึ้นอยู่ทางป่าด้านในถัดจากป่าโกงกาง
ชาวบ้านใช้ต้นตะบูนที่แก่ได้ขนาดนำมาเผาเป็นถ่าน ถ่านตะบูนร้อนดีและแรงกว่าไม้อื่นๆ มีขี้เถ้าต่ำ
ขายได้ราคาดี ส่วนผลตะบูนเมื่อแก่จัด ชาวบ้านจะนำไปย้อมอวน ให้สีน้ำตาลเปลือกไม้สวยทนทาน
บ้านปากตะบูน เป็นชุมชนเก่าแก่ เป็นเส้นทางค้าขายล่องเรือจากปากอ่าวไทยถืงแม่น้ำเพชร
มีบันทึกว่า สมัยปลายอยุธยา พระเจ้าเสือเคยมาประทับที่ท่าน้ำใกล้ปากอ่าว ปัจจุบันเชื่อว่าเป็น
วัดคุ้งตำหนัก สมัยรัชกาลที่ ๓ "สุนทรภู่" ก็เคยใช้เส้นทางนี้ท่องเที่ยว มีบันทีกไว้ใน
"นิราศเมืองเพชร" ว่า" ข้ามยี่สารบ้านสองพี่น้องแล้ว ค่อยคล่องแคล่วเขัาชวากปากตะบูน "

ร้านอาหารอยู่ใกล้ปากอ่าว ด้านซ้ายติดแนวป่าชายเลน นั่งทานข้าวมองเห็น
ลิงแสมฝูงย่อมลงมาหากินในคอกที่ใช้เลี้ยงหอยแครง ลึกลงไปในทะเล
เป็นอวนโพงพางและแนวไม้ไผ่เลี้ยงหอยแมงภู่ ที่นี่เป็นแหล่งเลี้ยงหอยแครง
ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ดังนั้นอาหารจานเด็ดที่ไม่ควรพลาด ต้องเป็นหอยแครงลวก
เผา ยำ หรืออีกหลากหลายสูตรมีให้เลือกได้ตามใจชอบ
ผมสั่งปลากระพงทอดน้ำปลาทานกับยำมะม่วง และปูทะเลนื่งขนาดกำลังดี
ตัวไม่ใหญ่นัก แต่สด เนื้อแน่น ถูกใจ

วันนึ้ได้ทานอาหารทะเลอร่อย ราคาไม่แพง นั่งดูน้ำทะเลขึ้น เห็นนกกินเปี้ยว
อกขวา ปีกสีฟ้าสดสะดุดตา บินหยอกล้อส่งเสียงเพราะให้ฟัง
เห็นท้องฟ้ายามเย็นค่อยๆเปลี่ยนสี เห็นเรือประมงแล่นออกปากอ่าวไปหาปลา
เป็นอีกความสุขของคนกรุงเทพ ผมนั่งซึมซับบรรยากาศรอบตัว ไม่รีบร้อน
เตือนตัวเองว่า เราต้องรู้จักจัดจังหวะให้ชีวิต
นึกถึงคำสอน นายหัางเทียม " เร็ว ช้า หนัก เบา "
ถ้าเลือกเคลื่อนไหวให้ถูกจังหวะ ชีวิตจะมีพลัง

ผมตั้งใจจะไปเยี่ยมบ้านปากอ่าวนี้อีก อยากใช้เวลาเดินสำรวจป่าชายเลน
ดูเตาเผาถ่านไม้โกงกาง เที่ยววัดเก่าริมฝั่งแม่น้ำ นั่งเรือออกปากอ่าวดูฟาร์มเลี้ยงหอย
เส้นทางสายนี้ถัาค่อยๆ หยุดแวะ เก็บรายละเอียด
จะเป็นเส้นทางที่ให้ความรื่นรมณ์ได้มากเลยทีเดียว

๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓