วันจันทร์, กันยายน 06, 2553

x2 กุยบุรี พบกันแบบไม่คาดฝัน



ปลายเดือนกันยายน ระหว่างทาง ฝนโปรยปราย ที่แรกว่าจะไป
ทานข้าวกลางวันที่เขาเต่า แต่อยากขับรถเล่น เลยเปลี่ยนเป้าหมาย
เป็นปราญบุรี แต่ก็เปลี่ยนใจอีกจนได้ ตั้งใจไปไกลถึง ประจวบคีรีขันต์
จำได้ว่าริมอ่าวมีร้านขายอาหารทะเลรสชาติดี สดมากๆ

ขับรถผ่านกุยบุรี อีก15กม ก่อนถึงประจวบฯ เห็นป้าย X2 Kui Buri ออกแบบทันสมัยติดข้างห้องแถวริมถนนเพรชเกษม ขัดสายตาแต่น่าสนใจ เกือบบ่ายสองแล้ว เลยตัดสินใจแวะเข้าไปเยี่ยมเยียน

ขับรถจากถนนใหญ่ไปตามทางถนนเข้าหมู่บ้าน มีช่วงสั้นๆทางยังสร้างไม่เสร็จ
ข้ามทางรถไฟ หยุดรอฝูงวัวให้ผ่านไปก่อน เห็นสถานีรถไฟเล็กๆสีแดงน่ารัก
มีทิวเขาเป็นกำแพงอยู่ด้านหลัง ข้างหน้าเห็นขอบฟ้าและทะเลอยู่ไม่ไกล
ยังนึกไม่ออกว่า resort จะหน้าตาเป็นอย่างไร

X2 อ่านออกเสียงว่า cross-to วางตัวเองเป็น design resort สำหรับ
a cosmopolitan group of creative and stylish guests จอดรถเรียบร้อยมีพนักงานออกมาต้อนรับ ใจดีนำทางไปส่งถึงร้านอาหารริมทะเล

resort ถูกออกแบบอย่างพิถีพิถัน โดย คุณ ดวงฤทธ์ บุญนาค จัดวางพื้นที่ใช้สอยได้สวยงาม ที่สำคัญรักษาต้นไม้ใหญ่ไว้อย่างน่าเคารพ แปลกตาด้วยการเลือกใช้หินธรรมชาติ ไม้ เป็นวัสดุหลัก ห้องอาหารเปิดโล่งให้เห็น ทะเล มองออกไปไกลด้านซ้ายเห็นอ่าวประจวบอยู่ลิบๆ

อาหารเป็นแนว fusion มีให้เลือกทั้งไทยและยุโรป ราคาพอกับโรงแรมในกรุงเทพ แต่ก็ทำได้อร่อยเกินคาด โดยเฉพาะ สลัดปลาแซลมอลสดคลุกพริกไทยดำ ชอบมาก

วันนี้ไม่มีแดด ไม่ร้อน ทานข้าว นั่งพัก มองทะเลเกือบสองชั่วโมง ที่นี่ให้บรรยากาศสงบนิ่ง เป็นส่วนตัว แต่บางคนที่ชอบสีสันอาจจะบอกว่า X2 เงียบ และเรียบเกินไป

ขับรถต่ออีกไม่ไกลก็ถึงประจวบฯ ผมปิดแอร์ เปิดหน้าต่าง ขับรถชิดซ้ายช้าๆ ค่อยๆเลียบทะเลชมอ่าวประจวบ ชาวบ้านเรียกอ่าวเกาะหลัก อ่าวโค้งสวย ด้านหน้าล้อมรอบด้วยเกาะขนาดเล็กใหญ่ที่ธรรมชาติจัดวางจนได้จังหวะ ถูกเพิ่มชีวิตชีวาด้วยเรือประมงหลากสี จอดพ้กเหนื่อย หลบลมแรง ผมหยุดรถ ออกไปถ่ายรูป บันทึกไว้ว่า ที่นี่เป็นอ่าวที่สวยที่สุดอีกที่นึงของประทศไทย เสียดายที่ไม่มีโอกาสได้นอนค้างคืน ตื่นเช้าเฝ้าดูพระอาทิตย์ขึ้นหน้าอ่าว คงได้เห็นสีสันที่สวยงามมากกว่านี้

ขับรถรอบเมืองขนาดกระทัดรัด ริมอ่าวมีโรงแรมและร้่านอาหารทะเลให้เลือกหลายหลายร้าน ก่อนกลับผ่านร้านขายขนม ซื้อ ไส้เมี่ยงป้านิด จากพัทลุง เอาไว้ทานเล่นในรถ

หัวหินวันนี้ไม่พลุกพล่าน มาเที่ยวช่วงปลายฝนอย่างนี้ มีโอกาสได้ที่พ้กคุณภาพดีในราคาประหยัด มื้อเย็นวันนี้อยากทานอาหารไทยรสจัด เลือกร้านลุงบังหัวปลาหม้อไฟ ถ้าจำไม่ผิดอยู่ริมถนนดำรงราช จากเพรชเกษมเลี้ยวซ้ายอยู่ซ้ายมือ

สั่งปลากระพงแป๊ะซะตัวโต ผัดผักบุ้งไฟแดง ทานกับข้าวสวยร้อนๆ อิ่มกำลังดี ตกค่ำคนยิ่งแน่นร้าน ทำให้พิสูจน์ได้ว่า ร้านอาหารคุณภาพดี อร่อย ราคาเป็นกันเอง ยังไงก็ไม่กลัว low season

26 กันยายน 2552

วันพุธ, พฤษภาคม 12, 2553

เที่ยวอ่าวบางตะบูน หมู่บ้านไม้น้ำเค็ม




















หลายปีที่แล้ว ผมขับรถจากชะอำกลับกรุงเทพช่วงสงกรานต์ อยากหนีรถติดบนถนนเพชรเกษม
เลยลองเลือกใช้เส้นทางเลียบชายทะเล หาดปีกเตียน เจ้าสำราญ บ้านแหลม เรื่อยถึง
คลองโคน ทะลุออก ถนนพระราม๒ เป็นเส้นเดินทางที่สนุกแต่ก็ทุลักทุเลพอสมควร ตลอดทาง
มีหลุมขนาดเล็ก ใหญ่ ให้ต้องขับหลบซ้ายที ขวาที ก่อนถึงคลองโคนเป็นถนนลูกลังยาวตลอด
ต้องขับช้าๆ เพราะไม่อยากให้ฝุ่นคลุ้งรบกวนชาวบ้าน ชอบช่วงที่ขับผ่าน นาเกลือ สองข้างทาง
เห็น กองเกลือเป็นกรวยสามเหลี่ยม สวยขาวโพลนกลางแดดจ้า ชาวบ้านแต่งตัวมิดชิดด้วยผ้าหลากสี
ช่วยกันขนเกลือเข้าเก็บในฉาง เป็นสีสรรเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ระหว่างชับรถ มีช่วงหนึ่ง
ต้องขับขึ้นสะพานสูงข้ามแม่น้ำที่ไม่กว้างมากนัก จำได้ติดตา ด้านซ้ายมือ มองออกไปได้ไกล
เห็นปากแม่น้ำไหลออกสู่ทะเลอ่าวไทย สองฝั่งล้อมรอบด้วยป่าโกงกางสีเขียวชอุ่ม เป็นภาพอ่าวไทย
ที่สวยมากภาพหนึ่งเลยทีเดียว สังเกตุเห็นมีร้านอาหารเล็กๆซ่อนตัวอยู่เชิงสะพาน
บรรยากาศน่าสบาย แต่เสียดายที่ถนนหนทางไม่เป็นใจเอาเสียเลย

เมษาปี ๒๕๕๓ นี้ ร้อนและเครียดกว่าทุกปี ผมหยุดกินยาแก้ปวดหัว นอนน่าเบี่ออยู๋บ้าน
บนโซฟาตัวเดิม ขับรถออกไปหาอากาศบริสุทธ์ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ใกล้หรือไกล
การเดินทางช่วยเปิดให้เห็นแง่มุมชีวิตใหม่ๆได้เสมอ ช่วยเติมพลังความคิดสร้างสรรค์เพิ่มมากขึ้น
ทุกครั้ง ถัาเราช่างสังเกตุจดจำ และรู้จักนำไปปรับใช้

ผมวางแผนกลับไปสำรวจเส้นทางลัดกรุงเทพ ชะอำ ได้ยินมาว่าถนนเส้นนี้สร้างเสร็จ
พร้อมให้ใช้งานแล้ว ระยะทางไม่ไกลจนเกินไป ขับรถไปกลับภายในวันเดียวได้สบาย
อยากหาอาหารทะเลสดๆ จากร้านชาวบ้าน ที่สะอาด สำคัญราคาค้องไม่แพง ทานให้จุใจ

จากถนนพระราม๒ ถึงช่วงกิโลเมตรที่ ๗๐ ขับชิดซ้าย จะเห็นป้ายบอกเส้นทางลัด
หาดเจ้าสำราญ หาดปีกเคียน ชะอำ ก่อนถึงปากทางเช้า มีปั้มน้ำมัน ปตท มีผู้คนแวะเวียน
ใช้บริการคึกคักพอสมควร ผมแวะซื้อขนมครกและข้าวเหนียวปิ้งเอาไว้ทานรองท้อง
เพราะไม่แน่ใจว่าเส้นทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร

ถนนทางเข้าไม่ใหญ่มากนักเพราะตัดชิดติดกับกำแพงวัด ขับไปสักระยะจะรู้สึก
โล่งมากขึ้น ถนนสองเลน ลาดยางอย่างดี ตัดเลี้ยวไปมา เดาว่าไล่ไปตามขอบที่ของชาวบ้านที่ใจดี
ยกให้เป็นทางสาธารณะ ขับเข้าไปไม่ไกลนัก มีทางแยกขวามือไป "คลองโคน" หมู่บ้านที่ล่ำลือกันว่า
เป็นแหล่งทำกระปิที่อร่อยที่สุดที่หนึ่งของประเทศไทย ขับตรงไป ไป บางตะบูน บ้านแหลม
ผมอยากจะสำรวจว่า ถนนเส้นนี้ จะดีไปจนถึงชะอำหรือยัง

ไปอีกราว ๒๐ กิโลเมตร ถึง "บางตะบูน " มองจากกลางสะพาน ปากอ่าวยังสวยเหมือนเดิม
วันนี้น้ำลง เห็นตลิ่งเลนเป็นแนวกว้าง มองไปไกลๆเห็นโพงพางเต็มปากอ่าว เว้นร่องน้ำให้
เรือประมงพอแล่นผ่านได้ ผมไม่ขับรถผ่านเลย เลี้ยวรถขับไปจอดใต้สะพาน เดินหลบแดดร้อนไปที่
ท่าน้ำเพื่อรับลมเย็น มีชาวบ้านนั่งช่วยกันแกะหอยเตรียมไปขาย ตรงบันไดมีนักตกปลาหย่อนใจ
อยู่สองสามคน ร้านอาหารเชิงสะพานที่จำได้ว่าบรรยากาศดี มีคนนั่งทานให้ไม่เหงาอยู่พอสมควร
แวะไปดูใกล้ๆ เป็นเรือเอี้ยมจุ้นจอดชิดกันสามลำ ดัดแปลงเป็นร้านอาหารชื่อเพราะ "เรือแลเล"


ตลอดเส้นทางถนนอยู่ในสภาพใช้ได้ดี เหลีอทางเบี่ยงแค่ช่วงสั้นๆ มีสะพานยังสร้างไม่เสร็จ
หนึ่งสะพาน เลยทำให้มีรถบรรทุกวิ่งน้อย ขับรถได้สบาย ช่วงบางตะบูน บ้านแหลม สองข้างทาง
เป๊นนาเกลือ ที่ทำกันมาตั้งแต่สมัยโบราณ ชาวบ้านเริ่มทำนาเกลือ ต้นเดีอนพฤษจิกายน ใช้เวลา
๔-๕ เดีอน ถึงจะได้เกลือเก็บไปขาย ค้นข้อมูลได้ว่าปัจจุบันเราผลิตเกลือทะเลได้ปีละราว
หนิึ่งล้านตัน ขายกันตันละ๑๐๐๐ -๑๕๐๐ บาท แล้วแต่ฤดู ส่วนใหญ่ผลิตได้พอใช้ภายในประเทศ
ใกล้หน้าฝนแล้ว เกลือถูกเก็บเต็มล้นฉาง บางที่ต้องใช้ผ้ายางคลุมเก็บในผืนนาแทน
ไม่ให้โดนฝนเสียเกลือเสียราคา เพราะอีกตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงฤดูการผลิตอีกครั้้้ง
คนนาเกลืออยู่กับฟัาและทะเล ธรรมชาติให้ประโยชน์กับคน แต่ก็จำกัดไม่ให้ฟุ่มเฟือยจนเกินไป
มากบ้างน้อยบ้าง ต้องรู้จักใช้ รู้จักสร้างให้พอด๊

จากบ้านแหลมเลี้ยวซ้ายจะเข้าตลาด ขวาตรงไปแหลมผักเบี้ย หรืออีกชื่อเรียกแหลมหลวง
หาดทรายแรกเริ่มต้นที่นี่ ช่วงนี้เป็นเส้นทางเรียบชายฝั่งทะเล เริ่มมีที่พัก และร้านอาหาร ยิ่งใกล้
หาดเจ้าสำราญ ยิ่งมีให้เลือกหลายรูปแบบหลายราคา ผมขับไปจนถึงทางแยก ตรงไป หาดปีกเตียน
ตัดสินใจหยุดสำรวจเส้นทางเพียงแค่นี้ เพราะช่วงจากนี้ไปถนนน่าจะดีตลอดทางแล้ว ผมเลี้ยวรถ
เข้าหาดเจ้าสำราญ เห็นที่พักสงบ น่ารัก เพิ่มขึ้นมาอีกหลายที่ ว่าจะหาร้านอาหารทะเลอร่อยๆทาน
ขับวนไปมายังไม่ได้ร้านถูกใจ เลยขับรถกลับ ๔๐ กิโล ไปทานที่ "เรือแลเล"

"บางตะบูน" ได้ชื่อมาจากไม้น้ำเค็ม "ตะบูน" เป็นไม้ที่พบขึ้นอยู่ทางป่าด้านในถัดจากป่าโกงกาง
ชาวบ้านใช้ต้นตะบูนที่แก่ได้ขนาดนำมาเผาเป็นถ่าน ถ่านตะบูนร้อนดีและแรงกว่าไม้อื่นๆ มีขี้เถ้าต่ำ
ขายได้ราคาดี ส่วนผลตะบูนเมื่อแก่จัด ชาวบ้านจะนำไปย้อมอวน ให้สีน้ำตาลเปลือกไม้สวยทนทาน
บ้านปากตะบูน เป็นชุมชนเก่าแก่ เป็นเส้นทางค้าขายล่องเรือจากปากอ่าวไทยถืงแม่น้ำเพชร
มีบันทึกว่า สมัยปลายอยุธยา พระเจ้าเสือเคยมาประทับที่ท่าน้ำใกล้ปากอ่าว ปัจจุบันเชื่อว่าเป็น
วัดคุ้งตำหนัก สมัยรัชกาลที่ ๓ "สุนทรภู่" ก็เคยใช้เส้นทางนี้ท่องเที่ยว มีบันทีกไว้ใน
"นิราศเมืองเพชร" ว่า" ข้ามยี่สารบ้านสองพี่น้องแล้ว ค่อยคล่องแคล่วเขัาชวากปากตะบูน "

ร้านอาหารอยู่ใกล้ปากอ่าว ด้านซ้ายติดแนวป่าชายเลน นั่งทานข้าวมองเห็น
ลิงแสมฝูงย่อมลงมาหากินในคอกที่ใช้เลี้ยงหอยแครง ลึกลงไปในทะเล
เป็นอวนโพงพางและแนวไม้ไผ่เลี้ยงหอยแมงภู่ ที่นี่เป็นแหล่งเลี้ยงหอยแครง
ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ดังนั้นอาหารจานเด็ดที่ไม่ควรพลาด ต้องเป็นหอยแครงลวก
เผา ยำ หรืออีกหลากหลายสูตรมีให้เลือกได้ตามใจชอบ
ผมสั่งปลากระพงทอดน้ำปลาทานกับยำมะม่วง และปูทะเลนื่งขนาดกำลังดี
ตัวไม่ใหญ่นัก แต่สด เนื้อแน่น ถูกใจ

วันนึ้ได้ทานอาหารทะเลอร่อย ราคาไม่แพง นั่งดูน้ำทะเลขึ้น เห็นนกกินเปี้ยว
อกขวา ปีกสีฟ้าสดสะดุดตา บินหยอกล้อส่งเสียงเพราะให้ฟัง
เห็นท้องฟ้ายามเย็นค่อยๆเปลี่ยนสี เห็นเรือประมงแล่นออกปากอ่าวไปหาปลา
เป็นอีกความสุขของคนกรุงเทพ ผมนั่งซึมซับบรรยากาศรอบตัว ไม่รีบร้อน
เตือนตัวเองว่า เราต้องรู้จักจัดจังหวะให้ชีวิต
นึกถึงคำสอน นายหัางเทียม " เร็ว ช้า หนัก เบา "
ถ้าเลือกเคลื่อนไหวให้ถูกจังหวะ ชีวิตจะมีพลัง

ผมตั้งใจจะไปเยี่ยมบ้านปากอ่าวนี้อีก อยากใช้เวลาเดินสำรวจป่าชายเลน
ดูเตาเผาถ่านไม้โกงกาง เที่ยววัดเก่าริมฝั่งแม่น้ำ นั่งเรือออกปากอ่าวดูฟาร์มเลี้ยงหอย
เส้นทางสายนี้ถัาค่อยๆ หยุดแวะ เก็บรายละเอียด
จะเป็นเส้นทางที่ให้ความรื่นรมณ์ได้มากเลยทีเดียว

๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๓